ไม่ว่าจะเป็นผ่าตัด, คีโมหรือฉายแสง ไม่เพียงแต่ทำลายเซลล์มะเร็งเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อเซลล์ปกติและอวัยวะอื่นๆ ทั่วไปด้วย ส่งผลให้เกิด "ผลข้างเคียง" จากการรักษา เช่น คลื่นไส้, อาเจียน, ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ แขนชา, ขาชา, เกิดแผลในช่องปาก, กลืนลำบาก เหนื่อยล้า, วิตกกังวล, ซึมเศร้า, เบื่ออาหาร, นอนไม่หลับ ฯลฯ จนทำให้หมดความอยากอาหาร หมดแรงใจในการใช้ชีวิต คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยลดลง จนอาจส่งผลให้ร่างกายผู้ป่วยทรุดโทรม รับการรักษาไม่ไหว ไม่ต่อเนื่อง ไปจนถึงร่างกายไม่สามารถตอบสนองการรักษาได้
ผลข้างเคียงจากยาเคมีบำบัด เมื่อรับผ่านเส้นเลือด จะกดการทำงานของไขกระดูก ซึ่งมีหน้าที่ผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือด เมื่อเซลล์ไขกระดูกถูกทำลาย จึงทำให้มีการผลิตเซลล์เม็ดเลือดต่างๆ เหล่านี้น้อยลง โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาว ที่มีหน้าที่สำคัญในระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยปกป้องร่างกายจากการติดเชื้อ แต่จะกระทบกับร่างกายของผู้ป่วยมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัย เช่น ชนิดของยาเคมีบำบัด, การผสมยา, ปริมาณและระยะเวลาการได้รับยาเคมีบำบัด รวมถึงอายุและสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วยเอง
ผลข้างเคียง สามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ระดับที่แทบจะไม่มีอาการใดๆ แสดงออกมาเลย จนถึงอาการที่ร้ายแรง ส่วนใหญ่จะไม่ใช่อาการที่ถาวร แต่สามารถเกิดผลข้างเคียงต่อเนื่อง ภายหลังรับการรักษาเสร็จสิ้นไปแล้วนานหลายเดือน ไปจนถึงหลายปี
เพราะฉะนั้นช่วง ก่อน ระหว่าง และหลังการทําเคมีบําบัด ผู้ป่วยควรเร่งฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกัน เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของผู้ป่วยมะเร็ง ทั้งพักผ่อนให้เพียงพอ, ลดความเครียดให้มากที่สุด, รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ รวมทั้งอาหารที่ช่วยลดและบรรเทาอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากยาเคมีบำบัด ป้องกันการติดเชื้อ เมื่อภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง
อาเจียนหลังคีโม
ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
ร้อนวูบวาบ ไอเรื้อรัง