มะเร็งต่อมน้ำเหลือง

มะเร็งต่อมน้ำเหลือง

มะเร็งต่อมน้ำเหลือง คืออะไร ?

โรคที่มีเนื้องอกร้ายชนิดหนึ่งเกิดขึ้นที่ต่อมน้ำเหลืองหรือโครงสร้างต่อม ซึ่งระบบน้ำเหลืองก็เป็นระบบหนึ่งของภูมิคุ้มกัน ประกอบไปด้วย อวัยวะน้ำเหลือง ได้แก่ ม้าม และไขกระดูก ซึ่งภายในอวัยวะเหล่านี้จะเต็มไปด้วยน้ำเหลือง มีหน้าที่นำสารอาหาร และเซลล์เม็ดเลือดขาวไปทั่วร่างกาย และเมื่อเซลล์เม็ดเลือดขาวเหล่านี้เกิดความผิดปกติ จึงทำให้เกิดเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองขึ้นมา

 


ประเภทของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

มะเร็งต่อมน้ำเหลืองแบ่งเป็น 2 ประเภท

1. มะเร็งต่อมน้ำเหลืองฮอดจ์กิน (Hodgkin’s Lymphoma: HL) เกิดจากความผิดปกติลิมโฟไซต์ชนิดB หรือชนิดT ซึ่งเป็นชนิดของเซลล์เม็ดเลือดขาว ทำการแบ่งตัวโดยไม่สามารถควบคุมได้ และสะสมกลายมาเป็นเซลล์มะเร็งในระบบน้ำเหลืองในที่สุด

2. มะเร็งต่อมน้ำเหลืองนอนฮอดจ์กิน (Non-Hodgkin’s Lymphoma: NHL) เกิดความผิดปกติและทำการแบ่งตัวโดยไม่สามารถควบคุมได้ สุดท้ายจะถูกสะสมจนกลายมาเป็นเซลล์มะเร็งในระบบน้ำเหลือง

 


 

ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

ปัจจัยเสี่ยงคือ ภาวะที่ทำให้มีโอกาสเกิดโรคมากขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าการที่มีปัจจัยเสี่ยงข้อใดข้อหนึ่งแล้ว จะต้องเกิดโรคนั้นเสมอไป ในปัจจุบันยังไม่สามารถบอกสาเหตุของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองทุกรายได้อย่างชัดเจน แต่พบมีความสัมพันธ์กับหลายภาวะ ได้แก่

  • อายุ : อุบัติการณ์ของมะเร้งต่อมน้ำเหลืองเพิ่มขึ้น เมื่ออายุมากขึ้นโดยอุบัติการณืสูงสุดอยู่ที่ช่วงอายุ 60-70 ปี
  • เพศ : เพศชายพบเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมากกว่าเพศหญิง
  • การติดเชื้อ พบความสัมพันธ์ระหว่างมะเร็งต่อมน้ำเหลืองบางชนิดกับการติดเชื้อ เช่น การติดเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori กับมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด MALT lymphoma การติดเชื้อไวรัส EBV กับมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด Burkitt
  • ภาวะพร่องภูมิคุ้มกันของร่างกาย ผู้ป่วย HIV พบอุบัติการณ์ของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเพิ่มขึ้น
  • โรคภูมิแพ้ตนเอง (Autoimmune disease) ผู้ป่วย SLE พบอุบัติการณ์ของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเพิ่มขึ้น
  • การสัมผัสสารเคมี เช่น ยาฆ่าแมลงจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

 


 

การวินิจฉัยมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

การวินิจฉัยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองจะเริ่มต้นจากการซักประวัติและการตรวจร่างกาย จากนั้นจะพิจารณาสืบค้นเพิ่มเติมอีก ได้แก่

  1. การตัดชิ้นเนื้อเพื่อตรวจทางพยาธิวิทยา (ฺBiopsy)
  2. การตรวจไขกระดูก (Bone marrow biopsy)
  3. การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (PET scan หรือ CT scan)
  4. การเจาะเลือดเพื่อดูผลเลือดต่าง ๆ

ซึ่งผลการตรวจทั้งหมดจะนำมาประเมินระยะของโรค เพื่อเป็นแนวทางในการพยากรณ์โรคและการรักษาโรคต่อไป

 

การประเมินระยะของโรค

แพทย์ผู้ทำการรักษาจะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดจากการสืบค้นเพิ่มเติม แล้วนำมาประมวลว่าผู้ป่วยอยู่ในระยะใดของโรค เพื่อนำมาเป็นแนวทางในการวางแผนการรักษาต่อ

ระยะของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองแบ่งออกเป็น 4 ระยะ

ระยะที่ 1: มีรอยโรคที่ต่อมน้ำเหลืองหรือนอกต่อมน้ำเหลืองเพียงบริเวณเดียว

ระยะที่ 2: มีรอยโรคที่ต่อมน้ำเหลืองหรือนอกต่อมน้ำเหลืองตั้งแต่ 2 ตำแหน่งขึ้นไป โดยต้องอยู่ภายในด้านเดียวกันของกะบังลม

ระยะที่ 3: มีรอยโรคที่ต่อมน้ำเหลืองหรือนอกต่อมน้ำเหลือที่อยู่คนละด้านของกะบังลม และ/หรือพบรอยโรคที่ม้ามร่วมด้วย

ระยะที่ 4: มีรอยโรคกระจายออกไปเกินตำแหน่งเริ่มต้นที่พบ ตำแหน่งที่พบการกระจายได้บ่อย เช่น ตับ, ไขกระดูก, หรือปอด

นอกเหนือจากการประเมินระยะของโรคแล้ว แพทย์ผู้รักษาจะอาศัยข้อมูลอื่น ๆ ของผู้ป่วยเพื่อนำมาคำนวณหาดัชนีประเมินการพยากรณ์โรคเพิ่มเติมด้วย ซึ่งจะสามารถแบ่งกลุ่มผู้ป่วยออกเป็นกลุ่มเสี่ยงสูง และกลุ่มเสี่ยงต่ำ

 


 

อาการของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

  • จะพบก้อนที่บริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น คอ รักแร้ ขาหนีบ โดยก้อนเหล่านั้นจะไม่มีอาการเจ็บ ต่างจากการติดเชื้อที่จะมีอาการเจ็บที่ก้อนเนื้อ มีไข้ หนาวสั่น มีเหงื่อออกมากในกลางคืน
  • เบื่ออาหาร น้ำหนักลดเร็ว อ่อนเพลียโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • ไอเรื้อรัง
  • หายใจไม่สะดวก
  • ต่อมทอนซิลโต
  • ปวดศีรษะ ซึ่งอาการนี้มักพบบริเวณต่อมน้ำเหลืองในระบบประสาท

แต่บางครั้งการคลำเจอก้อนก็อาจไม่ใช่ก้อนมะเร็งเสมอไป เพราะอาจเป็นเรื่องของการอักเสบจากการติดเชื้อ หรืออาจเป็นตัวโรคอื่น ๆ ที่ไม่ใช่มะเร็ง โดยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองสามารถรักษาให้หายขาดได้ จึงควรสังเกตตัวเองอยู่เสมอ หากพบความผิดปกติ รีบมาพบแพทย์

 

 


 แนวทางการรักษา

การรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลือง มีหลายวิธีประกอบกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิด และระยะของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองการรักษาที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้สามารถใช้ได้ทั้งเป็นการรักษาแบบเดียว หรือการรักษาแบบผสมผสาน

  • การเฝ้าติดตามโรค (Watch&Wait)

การเฝ้าติดตามโรคมักใช้ในมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดค่อยเป็นค่อยไป (Indolent) หรือในรายที่ผู้ป่วยมีอาการจากตัวโรคไม่มาก ระหว่างการเฝ้าติดตามโรค จะมีการตรวจเลือด หรือตรวจทางรังสีเป็นระยะ ๆ

  • การรักษาด้วยยาเคมีบำบัด (Chemotherapy)

ยาเคมีบำบัดจะทำลายเซลล์มะเร็ง โดยไปรบกวนกรแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งการเลือกชนิดของยาเคมีบำบัดนั้นจะขึ้นอยู่กับชริดของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โดยทั่วไปการรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองมักจะได้ยาเคมีบำบัดหลายขนานรวมกัน หรืออาจให้ร่วมกับการรักาด้วยแอนติบอดี (Monoclonal Antibodies)

  • การรักษาด้วยยาโมโนโคลนอลแอนติบอดี (Monoclonal Antibodies)

ยาโมโนโคลแอนติบอดี คือ สารสังเคราะห์ที่จะไปจับกับโปรตีนบนผิวของเซวล์มะเร็งหลังจากนั้นจะมีการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เพื่อมากำจัดเซลล์มะเร็งนั้น

  • การรักษาด้วยการฉายรังสี (Radiation Therapy)

คือการรักษาด้วยการใช้รังสีปริมาณสูง เพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง

  • การรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด (Tranplantation)

หลักการของการรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด คือ การทำลายเซลล์มะเร็งให้หมดไป แล้วแทนที่ด้วยเซลล์ที่ปกติ การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่

  • การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด โดยอาศัยเซลล์ของผู้บริจาค (Allogeneic transplantation)
  • การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด โดยอาศัยเซลล์ของผู้ป่วยเอง (Autologous transplantation)

 

มะเร็งต่อมน้ำเหลือง เป็นโรคที่มีเนื้องอกร้ายชนิดหนึ่งเกิดขึ้นที่ต่อมน้ำเหลือง หรือโครงสร้างต่อม ผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองคือช่วงอายุ 60-70 ปี ผู้ที่มีภาวะพร่องภูมิคุ้มกันของร่างกาย ผู้ป่วย HIV และผู้ที่สัมผัสสารเคมีเช่น ยาฆ่าแมลง อาการเริ่มแรกคือพบก้อนบริเวณคอ รักแร้ ขาหนีบ โดยก้อนเหล่านั้นจะไม่มีอาการเจ็บ ซึ่งในปัจจุบันสามารถรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองให้หายขาดได้ ถ้าหากเป็นในระยะแรกเริ่ม รักษาอย่างถูกต้องครบถ้วน และร่างกายมีการตอบสนองที่ดี

ที่สำคัญ การได้รับกำลังใจจากคนในครอบครัวและเพื่อน เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่จะมีกำลังใจในการต่อสู้กับโรคต่อไป