มะเร็งปอด

มะเร็งปอด

สาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของโรคมะเร็งในประเทศไทย

ปัจจุบันโรคมะเร็งถือเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญของประชากรทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย จากสถิติขององค์การอนามัยโลกในปี พ.ศ. 2561 คาดการณ์ว่ามีจำนวนผู้ป่วยทั่วโลกที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งประมาณ 18 ล้านคน และเสียชีวิตจากโรคมะเร็งประมาณ 9.6 ล้านคน หรือกล่าวได้ว่า 1 ใน 6 รายของการเสียชีวิตเกิดจากโรคมะเร็ง

สถานการณ์ของโรคมะเร็งในภาพรวมของประเทศไทย จากสถิติพบว่าโรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 คิดเป็นร้อยละ 16 ของเหตุการเสียชีวิตทั้งหมด สูงกว่าอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ และโรคหัวใจเฉลี่ย 2 ถึง 3 เท่า หรือมีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งเฉลี่ย 8 รายต่อชั่วโมง ในปี พ.ศ. 2561 พบว่ามีจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ โดยประมาณอยู่ที่ 170,495 ราย และเสียชีวิตจากโรคมะเร็งประมาณ 114,199 ราย สำหรับ 5 อันดับแรกของมะเร็งที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่ มะเร็งปอด มะเร็งตับและท่อน้ำดี มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ และ มะเร็งถุงน้ำดี โดยโรคมะเร็งที่ทำให้เสียชีวิตมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ มะเร็งตับและท่อน้ำดี, มะเร็งปอด, มะเร็งถุงน้ำดี, มะเร็งเต้านมและมะเร็งลำไส้ใหญ่ ตามลำดับ

ในปัจจุบัน โรคมะเร็งส่วนมากยังไม่มีวิธีการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ ประเทศที่มีรายได้ต่อประชากรน้อย เช่น ในกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การเข้าถึงการป้องกัน การวินิจฉัย การรักษาโรค และการดูแลมะเร็งระยะสุดท้ายจะเป็นปัญหาที่สำคัญต่อผู้ป่วยและประเทศ โรคมะเร็งมักจะถูกพบในระยะที่ 3 และ 4 มากกว่าร้อยละ 50 ทำให้โอกาสที่จะเสียชีวิตจากโรคมะเร็งสูงมากเมื่อเทียบกับประเทศทางตะวันตก การควบคุมและลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งจึงเป็นปัญหาที่มีความท้าทายอย่างสูง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีแผนบูรณาการ และต้องการความร่วมมือทุกภาคส่วนทั้ง ภาควิชาการ รัฐบาล และประชาชน เพื่อที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ

 


 

ปัจจัยเสี่ยงและการปฏิบัติตัวเพื่อให้ห่างไกลจากมะเร็งปอด

  1. หยุดสูบบุหรี่หรือหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดผู้ที่สูบบุหรี่ เนื่องจากบุหรี่เป็นสาเหตุของมะเร็งปอดถึงร้อยละ 80 – 90 การสูบบุหรี่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์หลอดลม ทำให้เกิดการกลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็งได้
  2. หลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่ที่มีมลภาวะมาก เช่น การทำงานในที่ที่มีฝุ่นควันมาก หรือเหมืองแร่โดยไม่ใช้เครื่องมือป้องกันตนเอง การสัมผัสสารแอสเบสตอสหรือแร่ใยหิน ซึ่งใช้ในวงการอุตสาหกรรมรถยนต์ ฉนวนกันความร้อน การก่อสร้าง โครงสร้างอาคาร ผ้าเบรค คลัช และอุตสาหกรรมสิ่งทอ และควรหลีกเลี่ยงฝุ่นขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอนหรือ PM2.5 โดยสวมใส่หน้ากากอนามัยเมื่อต้องออกไปภายนอกอาคาร ซึ่ง PM2.5 ก็อาจส่งผลเพิ่มความเสี่ยงการเป็นมะเร็งได้เช่นกัน แม้จะยังไม่มีหลักฐานทางวิชาการสนับสนุนอย่างชัดเจน
  3. อยู่ในที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์
  4. หมั่นตรวจร่างกายเป็นประจำสม่ำเสมอ
  5. ออกกำลังกายและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงอยู่เสมอ
  6. การได้รับการฉายรังสีบริเวณปอด และรังสีเรดอน ซึ่งเป็นก๊าซกัมมันตรังสี ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส เกิดจากการสลายตัวของแร่ยูเรเนียมในใยหินกระจายอยู่ในอากาศและน้ำใต้ดินในที่ที่อากาศไม่ถ่ายเท ซึ่งหากได้รับในปริมาณมากก็อาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอดได้
  7. ผู้ที่เคยมีรอยแผลเป็นของโรคที่ปอด เช่น เคยเป็นวัณโรคปอด หรือผู้ที่ป่วยเป็นโรคถุงลมโป่งพอง จะมีโอกาสเกิดมะเร็งปอดสูงกว่าบุคคลทั่วไป
  8. ปัจจัยอื่นๆ เช่น อายุที่มากขึ้น การใช้สารเสพติดบางประเภท เช่น กัญชาและโคเคน ภาวะขาดวิตามินเอ อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็งปอดด้วย ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างกรรมพันธุ์กับการเกิดมะเร็งปอดยังไม่มีความชัดเจนนัก

 


 

 

สัญญาณเตือนของมะเร็งปอด

อาการของระบบทางเดินหายใจ ได้แก่

  • อาการไอเรื้อรัง อาจมีหรือไม่มีเสมหะก็ได้
  • อาการไอเป็นเลือด
  • หอบเหนื่อย หายใจลำบากเนื่องจากก้อนมะเร็งโตขึ้น ทำให้เนื้อที่ปอดสำหรับหายใจเหลือน้อยลง หรือก้อนมะเร็งนั้นกดเบียดหลอดลม
  • เจ็บหน้าอกเวลาหายใจ
  • ปอดอักเสบ มีไข้

* แต่อาการเหล่านี้ อาจเกิดจากโรคอื่นๆ ของปอดได้เช่นกัน จึงไม่ใช่อาการของมะเร็งปอดเสมอไป

อาการของระบบอื่นๆ ได้แก่

  • เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • บวมที่หน้า แขน คอ และทรวงอกส่วนบนเนื่องจากมีเลือดดำคั่ง
  • เสียงแหบเพราะมะเร็งลุกลามไปยังเส้นประสาทบริเวณกล่องเสียง
  • ปวดกระดูก
  • กลืนลำบากเนื่องจากก้อนมะเร็งกดเบียดหลอดอาหาร
  • อัมพาตเนื่องจากมะเร็งแพร่กระจายไปยังสมองหรือไขสันหลัง
  • มีตุ่มหรือก้อนขึ้นตามผิวหนัง

    ซึ่งอาการเหล่านี้ก็ไม่จำเพาะต่อโรคมะเร็งปอดเช่นกัน  ผู้ที่มีอาการดังกล่าวข้างต้นควรได้รับการตรวจจากแพทย์

 


 

การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งปอด

โรคมะเร็งปอดอาจตรวจพบได้จากการถ่ายภาพรังสีทรวงอกและการทำซีทีสแกน การยืนยันการวินิจฉัยทำโดยการตัดชิ้นเนื้อปอดออกมาตรวจ การตัดชิ้นเนื้อปอดส่วนใหญ่ทำโดยส่องกล้องหลอดลมเพื่อเก็บชิ้นเนื้อหรือการเจาะชิ้นเนื้อโดยใช้ผลตรวจซีทีช่วยนำทาง

  1. การตัดชิ้นเนื้อเพื่อวิเคราะห์ (biopsy)
  2. การใช้เข็มขนาดเล็กตัดชิ้นเนื้อ (fine-needle aspiration)
  3. การส่องกล้องตรวจภายในหลอดลม (bronchoscopy)
  4. การใช้เข็มเจาะช่องเยื่อหุ้มปอดแทงผ่านผนังทรวงอก (thoracentesis)
  5. การตรวจช่องกลางทรวงอกโดยการส่องกล้อง (mediastinoscopy)
  6. การตรวจช่องทรวงอกโดยการส่องกล้อง (thorocoscopy)
  7. การตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) และการตรวจโดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI): เป็นวิธีที่ช่วยให้แพทย์หาตำแหน่งและขนาดของก้อนเนื้อที่ผิดปกติในบริเวณปอดได้
  8. การตรวจด้วยเครื่อง PET scan (positron emission tomography scan): เป็นการฉีดโมเลกุลของสารกัมมันตภาพรังสีที่รวมกับน้ำตาลเข้าทางเส้นเลือด เซลล์มะเร็งปอดจะดูดซึมเอาน้ำตาลชนิดนี้ไว้อย่างรวดเร็วและมากกว่าเซลล์ปกติ ทำให้เกิดความแตกต่างของการเรืองแสงเฉพาะเซลล์มะเร็ง

 

ปัจจัยที่บอกถึงการพยากรณ์โรคในผู้ป่วยมะเร็งปอด

  1. ชนิดของมะเร็งที่เป็นมะเร็งชนิดเซลล์ไม่เล็ก มีการพยาการณ์โรคโดยรวมดีกว่ามะเร็งชนิดเซลล์เล็กโดยผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะแรกจะมีโอกาสหายขาดมากกว่า และมีอัตราการรอดชีวิตสูงกว่าผู้ป่วยระยะหลังหรือระยะแพร่กระจาย
  2. ความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกายผู้ป่วย ผู้ป่วยที่ไม่มีโรคประจำตัวรุนแรง ผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะน้ำหนักตัวลดลงผิดปกติ มักมีผลการรักษาที่ดีกว่าผู้ที่ร่างกายไม่สมบูรณ์
  3. การรักษาที่ผู้ป่วยได้รับการเลือกการรักษาที่ถูกต้องตั้งแต่เริ่มแรก มีความสำคัญในการพยากรณ์ผลการรักษาของโรคด้วย โดยทั่วไปแพทย์สามารถทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้นได้ แม้ว่าในบางครั้งอาจจะไม่สามารถช่วยให้หายขาดจากโรคได้ก็ตาม

 


 

มะเร็งปอดมี่กี่ชนิด

  1. มะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็ก  (Small cell lung cancer)
    มะเร็งชนิดนี้พบประมาณร้อยละ 10-25 ของมะเร็งทั้งหมด ส่วนใหญ่พบบริเวณใกล้ขั้วปอดมากกว่าบริเวณชายปอด เป็นชนิดมะเร็งที่แพร่กระจายเร็วและอาจสร้างสารเคมีบางอย่าง ทำให้เกิดการผิดปกติของระบบต่อมไร้ท่อ (ฮอร์โมน) ในร่างกายได้ มะเร็งชนิดนี้มักตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดและรังสีรักษาได้ดี
  2. มะเร็งปอดชนิดเซลล์ไม่เล็ก (Non-small cell lung cancer)
    มะเร็งชนิดนี้พบประมาณร้อยละ 75-90 ขอมะเร็งปอดทั้งหมด มักมีการดำเนินโรคที่ช้ากว่า มีโอกาสตรวจพบโรคในระยะต้นได้มากกว่ามะเร็งปอดชนิดเล็ก ถ้าพบในระยะแรก การรักษาหลักคือการผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งและต่อมน้ำเหลืองออก บางรายอาจให้การรักษาร่วมกับการให้ยาเคมีบำบัดหรือใช้รังสีรักษาอาการแสดงเบื้องต้นของคนที่มีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งปอด

 

 


 

 การรักษามะเร็งปอด

  • ผ่าตัด (Surgery) ใช้สำหรับการรักษามะเร็งในระยะแรกที่ยังไม่มีการแพร่กระจาย ขนาดก้อนที่ไม่ใหญ่เกินไป จะมีการกระจายไปต่อมน้ำเหลืองใกล้ๆ และไม่มีการยึดติดกับอวัยวะสำคัญต่างๆ เนื่องจากเป็นวิธีการที่ทำให้ผู้ป่วยหายขาดจากโรคได้
  • ฉายรังสี (Radiology) เป็นวิธีการรักษาเฉพาะที่เช่นเดียวกับการผ่าตัด เหมาะสำหรับ
       a. ผู้ป่วยระยะแรกที่ไม่สามารถเข้ารับการผ่าตัดได้
       b. ผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะลุกลามเฉพาะที่ โดยใช้ร่วยกับยาเคมีบำบัด ซึ่งเป็นการรักษาเพื่อหวังผลหายขาด
       c. ใช้เป็นการรักษาเสริมหลังการผ่าตัดในผู้ป่วยระยะที่ 3 ที่มีข้อบ่งชี้เพื่อเพิ่มผลการควบคุมโรคที่ดี
       d. ใช้เป็นการรักษาประคับประคอง บรรเทาอาการปวดกระดูก บรรเทาอาการในกรณีที่มะเร็งมีการกระจายไปยังสมอง
       e. ใช้เป็นการรักษาป้องกัน เช่น การฉายรังสีที่ศีรษะ เพื่อป้องกันโรคกระจายมาที่สมอง
  • ยาเคมีบำบัด (Chemotherapy) เป็นการให้ยาที่สามารถทำลายเซลล์มะเร็ง โดยการฉีดหรือผสมสารละลายหยดเข้าไปทางหลอดเลือด ซึ่งตัวยาจะผ่านเข้าไปในระบบไหลเวียนเลือดและเข้าสู่เซลล์มะเร็งทางเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงก้อนมะเร็ง
  • ยามุ่งเป้า (Targeted therapy) เป็นวิธีการรักษามะเร็งโดยมีเป้าหมายเพื่อยับยั้งโปรตีนซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมกลไกการเกิดมะเร็ง โดยวิธีการให้ยารับประทาน มีผลข้างเคียงน้อยและได้ผลดีในผู้ป่วยที่ได้รับการตอบสนองต่อการรักษา มักใช้เป็นการรักษาสำรอง เมื่อล้มเหลวจากการให้ยาเคมีบำบัด
  • ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) การผสมยากับสารละลายแล้วหยดเข้าไปทางหลอดเลือด หวังผลเพื่อกระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายให้สามารถกลับมาทำงานได้เป็นปกติ มีผลข้างเคียงน้อยกว่าการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด มักใช้เป็นการรักษาสำรอง เมื่อล้มเหลวจากการให้ยาเคมีบำบัด

 

 

สิ่งสำคัญที่ต้องทราบคือ การเลือกยาในการรักษามะเร็งนั้น อาจมีความแตกต่างกันในคนไข้แต่ละคน เพราะถึงแม้ว่าคนไข้จะเป็นมะเร็งชนิดเดียวกันแต่ลักษณะการกลายพันธุ์ของเซลล์มะเร็งอาจมีความแตกต่างกัน ดังนั้นการตรวจหาการกลายพันธุ์ในเซลล์มะเร็งของคนไข้ด้วย การตรวจยีนมะเร็งอย่างครอบคลุม (Comprehensive Genomic Profiling) จะช่วยให้แพทย์และคนไข้สามารถร่วมกันวางแผนการรักษาและเลือกยาที่เหมาะสมที่สุดกับคนไข้ได้อย่างเหมาะสม  


 

ที่มา :

· ทำความรู้จักกับมะเร็งปอด (Lung Cancer), โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์ 
· Heim D et al. Int J Cancer 2014; 135: 2362–2369
· Baumgart M et al. Am J Hematol Oncol 2015: 11: 10–13
· Schwaederle M, Kurzrock R. Oncoscience 2015; 2: 779–780